วิกฦตเศรษฐกิจ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงในรอบ 80 ปีที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ มีสาเหตุมาจาก 1. นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เมื่อประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เข้าบริหารประเทศ เขาต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ที่ถดถอยตั้งแต่กลาง ค.ศ.2001 ประธานาธิบดีบุชจึงใช้นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ ประกาศมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลง โดยดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2000 อยู่ที่ 6.54 เปอร์เซ็นต์ แต่ในระหว่าง ค.ศ.2001- 2004 ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยอ้างอิงลงจนเหลือเฉลี่ยเพียง 1.0 เปอร์เซ็นต์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2554 Vol.4 No.1 January – June 2011 53 (Federal Resewe, 2008, 5 October) โดยเน้นให้ประชาชนกู้เงินไปใช้จ่ายหรือลงทุนเพื่อเป็นการ กระตุ้นเศรษฐกิจในอีกทางหนึ่ง ประชาชนส่วนหนึ่งนำเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปซื้อรถยนต์ ใช้จ่ายเพื่อการท่อง เที่ยว รวมถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกกำไร ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งราคาปรับตัวสูงขึ้น ประชาชนก็ยิ่งหันไปเก็งกกำไรในอสังหาริมทรัพย์ด้วยการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพิ่มขึ้น จนเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ใน ค.ศ.2006 และเมื่อรวมกับราคาน้ำมันใน ตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีเดียวกัน จึงเกิดภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องการ แก้ไขปัญหาเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมาอยู่ที่ 5.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว รูปที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Funds Rate) ระหว่าง 1999-2009 กำไรว่า ซับไพรม์ เจาะจงความ หมายคือ ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำเป็นหลัก วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา SKRU ACADEMIC JOURNAL 54 จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ดังกล่าวข้างต้น มีส่วนทำให้มาตรการการตรวจสอบสินทรัพย์น้อยลงและปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้น ยิ่งส่งผลให้ปริมาณลูกหนี้สินเชื่อซับไพรม์ เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมูลค่าสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ คุณภาพต่ำ ค่าเงินเข้าแก้ปัญหาหนี้เสียจากสินเชื่อซับไพรม์ด้วยการซื้อกิจการ ของธนาคารทั้งสองแห่ง แต่หนี้อสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเป็นปัญหาทั้งหมดของสหรัฐฯ ที่อยู่กับสถาบันการ เงินภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 7.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่ง ยังไม่รวมหนี้อสังหาริมทรัพย์ที่แปลงเป็นหลักทรัพย์แล้วอีกกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์(กรณ์ จาติกวณิช, 2551, 25 กันยายน) จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามูลค่าหนี้เสียที่เกิดจากสินเชื่อซับไพรม์โดยรวม มีมูลค่าสูงถึง 14.2 ล้านล้านดอลลาร์ 3. การเก็งกำไรของบรรษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ระบบโครงสร้างของสถาบันการเงินหลักของสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วย 3 ภาคส่วน คือ (1) สถาบันการเงินหรือธนาคาร เช่น แบงค์ออฟอเมริกา (Bank of America) ซิตี้แบงค์ (Citibank) จีอีแคปิตอล (GE Capital International Holding) (2) บริษัทประกันชีวิต เช่น บริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ เอไอจี (American International Group : AIG) นิวยอร์ก ไลฟ์ (New York Life) และ (3) บริษัทวาณิชธนกิจเป็นสถาบันการเงินที่มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการระดมทุนให้กับทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน สามารถระดมทุนและกู้ยืมเงินมาลงทุนได้สูงถึง 20-30 เท่าของหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯกำหนดไว้ไม่เกิน 12 เท่าของหลักทรัพย์ค้ำประกัน เนื่องจากเป็นบริษัท เอกชนที่มีอิสระและไม่ถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง จึงทำให้มีโอกาสลงทุนผิดพลาดสูง บริษัทเหล่านี้ ได้แก่ บริษัทเลแมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) บริษัทเมอร์ริน ลินซ์ (Merrill Lynch) บริษัท โกลด์แมน แซคส์ (The Goldman Sachs Group, Inc.) และมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley)
ที่มา:https://sites.google.com/site/historydeemakk/hnwy-kar-reiyn-ru-thi5/p

